"น้าเหม่ง" ประพล พงษ์พานิช เฮดโค้ช "แข้งเทพ" แบงค็อก ยูไนเต็ด ออกอาการหัวเสียเมื่อ เกีอบโดน เอเยนต์ หลอกให้เซ็น วลาดิเมียร์ ริบิช หอกของชลบุรี เอฟซี ทั้งๆที่มีสัญาเหลือกับต้นสังกัดเก่าถึง 6เดือน
"น้าเหม่ง" ประพล พงษ์พานิช กุนซือ "แข้งเทพ" แบงค็อก ยูไนเต็ด ออกอาการเซ็ง หลังจากที่ตรวจสอบรายระเอียดสัญญาของ วลาดิเมียร์ ริบิช นักเตะสัญชาติเซอร์เบียและมอนเตเนโกรของ ชลบุรี เอฟซี ที่ก่อนหน้านี้เตรียมที่จะทำการเซ็นสัญญาเอานักเตะรายนี้เข้าร่วมสังกัด แต่เมื่อตรวจสอบเป็นที่เรียบร้อย ปรากฏว่า นักเตะยังมีสัญญาอยู่กับทาง ชลบุรี เอฟซี อยู่อีก 1ปี โดยน้าเหม่งเผยว่า
"ตอนแรกเอเยนต์เอามาเสนอให้ บอกว่าทาง ริบิช หมดสัญญากับทางชลบุรีแล้ว จึงสนใจที่จะเซ็นสัญญา แต่เมื่อขอตรวจสอบสัญญากับเอเยนต์ ปรากฏว่าไม่มีให้ จึงมีการสอบถามไปทางชลบุรี ซึ่งทางริบิชเองก็เหลือสัญญาอยู่กับทีมอีก 6 เดือน
ข่าวฟุตบอล, ข่าวกีฬาฟุตบอล, ข่าวฟุตบอลพรีเมียร์ลีก, ผลบอล, ผลฟุตบอล, ข่าวฟุตบอลต่างประเทศ, ข่าวฟุตบอลอังกฤษ, ข่าวฟุตบอลยูฟ่า, ข่าวฟุตบอลวันนี้, ข่าวฟุตบอลอิตาลี, ข่าวฟุตบอลยุโรป, ข่าวฟุตบอลแมนยู, ข่าวฟุตบอล ลิเวอร์พูล, ข่าวฟุตบอลสเปน
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ข่าวฟุตบอล แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ข่าวฟุตบอล แสดงบทความทั้งหมด
วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2554
ข่าวฟุตบอล ทรีเอ็มสยบข่าวซบบีจีจ่อเซ็นยาวถึง2016 เจ้าท่าเปิดตัวธงชัย
แก๊งค์ทรีเอ็มสยบข่าวเตรียมชิงหนีการท่าเรือซบอกบางกอกกล๊าสด้วยการเตรียมขยายสัญญายาวอีก 5 ปี พร้อมเปิดตัว ธงชัย สุขโกกี นั่งแท่นกุนซือใหม่อย่างเป็นทางการ คลองเตยอาร์มี่เฮขุนพลหลักล้มแผนย้ายทีมหมด
การท่าเรือไทย เอฟซี ทีมชั้นนำแห่งศึกไทยพรีเมียร์ลีก ทำการเปิดตัว ธงชัย สุขโกกี เทรนเนอร์คนใหม่อย่างเป็นทางการ หลังตกลงเซ็นสัญญาคุมทัพ "สิงห์เจ้าท่า" เป็นเวลา 4 ปีครึ่ง พร้อมกับสามประสานแนวรับ มุนเซ่ อุลริช ,มูดูโร่ มอยเซ่ และ มาริโอ ดาซิลวา ซึ่งพร้อมใจออกมาปฏิเสธข่าวการย้ายไปร่วมทีมบางกอกกล๊าส เอฟซี ที่ห้องแถลงข่าว แพท สเตเดี้ยม เมื่อวันที่ 16 มิถุนายนที่ผ่านมา
อดีตกุนซือ จุฬา ยูไนเต็ด กล่าวว่า "มันเป็นเรื่องสุดพิเศษมากที่เขาได้รับเกียรติให้มาคุมทีมที่ยิ่งใหญ่อย่างการท่าเรือ ผมยอมรับว่าเป็นงานที่ไม่ง่ายและท้าทายที่สุดครั้งหนึ่งในอาชีพเลยทีเดียว ผมเตรียมตัวและศึกษาข้อมูลของทีมมามากมายหลังรู้ว่าจะได้รับงานนี้ และต้องขอบคุณผู้ใหญ่ที่ไว้ใจ"
"ผมเป็นคนมีความมั่นใจสูง แม้ว่า พี่เตี้ย (สะสม พบประเสริฐ อดีตกุนซือ) จะนำความสำเร็จมาในที่แห่งนี้มากมายจนหลายคนคิดว่าผมต้องเจอกับแรงกดดัน แต่ผมจะใช้สิ่งเหล่านั้นผลักดันตัวเองและลูกทีมทำให้ได้เท่ากับเขา" โค้ชธง กล่าว
การท่าเรือไทย เอฟซี ทีมชั้นนำแห่งศึกไทยพรีเมียร์ลีก ทำการเปิดตัว ธงชัย สุขโกกี เทรนเนอร์คนใหม่อย่างเป็นทางการ หลังตกลงเซ็นสัญญาคุมทัพ "สิงห์เจ้าท่า" เป็นเวลา 4 ปีครึ่ง พร้อมกับสามประสานแนวรับ มุนเซ่ อุลริช ,มูดูโร่ มอยเซ่ และ มาริโอ ดาซิลวา ซึ่งพร้อมใจออกมาปฏิเสธข่าวการย้ายไปร่วมทีมบางกอกกล๊าส เอฟซี ที่ห้องแถลงข่าว แพท สเตเดี้ยม เมื่อวันที่ 16 มิถุนายนที่ผ่านมา
อดีตกุนซือ จุฬา ยูไนเต็ด กล่าวว่า "มันเป็นเรื่องสุดพิเศษมากที่เขาได้รับเกียรติให้มาคุมทีมที่ยิ่งใหญ่อย่างการท่าเรือ ผมยอมรับว่าเป็นงานที่ไม่ง่ายและท้าทายที่สุดครั้งหนึ่งในอาชีพเลยทีเดียว ผมเตรียมตัวและศึกษาข้อมูลของทีมมามากมายหลังรู้ว่าจะได้รับงานนี้ และต้องขอบคุณผู้ใหญ่ที่ไว้ใจ"
"ผมเป็นคนมีความมั่นใจสูง แม้ว่า พี่เตี้ย (สะสม พบประเสริฐ อดีตกุนซือ) จะนำความสำเร็จมาในที่แห่งนี้มากมายจนหลายคนคิดว่าผมต้องเจอกับแรงกดดัน แต่ผมจะใช้สิ่งเหล่านั้นผลักดันตัวเองและลูกทีมทำให้ได้เท่ากับเขา" โค้ชธง กล่าว
วันอังคารที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
วิเคราะห์ก่อนเกมฟุตบอลโลก 2010 รอบ 4 ทีมสุดท้าย
แจ็คกี้ พาชาว MSN มาวิเคราะห์ก่อนเกมฟุตบอลโลก 2010 รอบ 4 ทีมสุดท้ายในวันที่ 6-7 ก.ค.นี้ 2 คู่ระหว่าง อุรุกวัยพบฮอลแลนด์ และเยอรมันจะพบกับสเปน
เยอรมัน VS สเปน
วันที่ 7 ก.ค. เวลา 01.30 น.
ที่ – เดอร์บัน สเตเดี้ยม, เมืองเดอร์บัน
วันที่ 7 ก.ค. เวลา 01.30 น.
ที่ – เดอร์บัน สเตเดี้ยม, เมืองเดอร์บัน
สถิติรอบแรก ;
เยอรมัน ชนะ 4 แพ้ 1 ยิงได้ 13 เสีย 1
สเปน ชนะ 4 แพ้ 1 ยิงได้ 6 เสีย 2
เยอรมัน ชนะ 4 แพ้ 1 ยิงได้ 13 เสีย 1
สเปน ชนะ 4 แพ้ 1 ยิงได้ 6 เสีย 2
สภาพทีมล่าสุด ;
เยอรมัน ไม่มี โทมัส มุลเลอร์ นักเตะกองกลางด้านขวา ซึ่งติดโทษพักแข้ง ส่วนการบาดเจ็บของ ชไวน์สไตน์เกอร์ นั้นไม่เป็นปัญหา ลงสนามได้ โดยตำแหน่งของมุลเลอร์นั้นน่าจะโดนแทนที่โดย ปิโอตอร์ ทรอชอฟสกี้ ซึ่งเป็นตัวสำรองคนแรกในทีมของ โยกี้ เลิฟ นอกนั้นชุดเดิม
โดย ทรอชอฟสกี้ ต้องยืนด้านขวาแทน มุลเลอร์ แต่สามารถสลับตำแหน่งกันได้อย่างอิสระในเกมรุกทั้ง โอซิล, ทรอชอฟสกี้

ผู้รักษาประตู - นอยเออร์
กองหลัง - 16 ลาห์ม, 3 ฟรีดิช, 17 แมร์เตซัคเกอร์, 20 บัวเต็ง
กองกลาง - 7 ชไวน์สไตน์เกอร์, 6 เกดิรา, 15 ทรอฟชอฟสกี้
กองหน้า - โคลเซ, โพดอลสกี้, โอซิล
สเปน ตัวเต็ม นักเตะไม่ติดโทษแบนเพราะผู้เล่นของสเปนส่วนใหญ่จะโดนทำฟาวล์ ไม่ใช่ไปทำฟาวล์คู่แข่งขัน ส่วนกรณี เฟร์นานโด ตอร์เรส นั้น สเปนจะใช้ลงเล่นข่มกองหลังเยอรมันแน่นอนแม้ว่า ตอร์เรส ฟอร์มแย่มาโดยตลอดก็ตามที
ผู้รักษาประตู - กาสิยาส
กองหลัง - รามอส, ปิเก, ปูโยล, คัปเดบีลา
กองก ลาง - ชาบี เอร์นานเดซ, ชาบี อลอนโซ, บุสเกต
กองหน้า - ตอร์เรส,บียา, อีเนียสต้า
กลยุทธ์ที่ใช้ ;
โยกี้ เลิฟ ไม่น่าเปลี่ยนวิธีการเล่น พวกเขาจะเล่นรอจังหวะให้สเปนบุกเข้าหา เดินเข้ามาทำเกมรุก จากนั้นรอจังหวะในแดนตัวเองอย่างใจเย็น รัดกุม สเปนพลาดเมื่อไหร่ โดนตัดบอลแล้วโต้กลับเร็วทันที นี่คือหมากกลที่ทำให้เยอรมันชนะในสองเกมล่าสุดยิงไป 8 ลูก
เชื่อว่าสเปนจะไม่ผลีผลามในการบุก บิเซนเต้ เดล บอสเก้ จะให้ลูกทีมบุกเข้าหาก็จริง แต่เป็นไปอย่างรอบคอบ ไม่ต้องรีบร้อน นักเตะพยายามเคลื่อนที่กันตลอดเวลา ให้บอลกันแม่นและเร็ว หาช่องตลอด โดยสเปนต้องการครองบอลเอาไว้ให้มากและนานที่สุดเพื่อไม่ให้เยอรมันเล่น
ข้อสำคัญสเปนไม่ต้องการให้เยอรมันได้ใช้ความผิดพลาดของสเปนเลย เนื่องจากกองกลางสเปนชุดนี้ ไม่ใช่ให้บอลแม่นอย่างเดียว ตรงกันข้ามแย่งบอลเก่งอีกต่างหาก ดังนั้นเกมนี้ แผนการของเยอรมันน่าจะลดประสิทธิภาพลง ขณะที่สเปนนั้นอาจเจาะเข้าทำยากสักหน่อย และคงเป็นเกมที่อึดอัด แต่เป้าหมายของพวกเขาคือ ไม่ต้องการให้เยอรมันเล่นบอลและไม่ต้องการเสียประตูแรกให้เยอรมันอีกด้วย
ผลที่คาด ;
สเปน..จะลดประสิทธิภาพเกมโต้กลับของ เยอรมันลง ที่เหลืออยู่ที่พวกเขาว่าจะเจาะได้มั้ย หากไม่เสียประตูแรกให้เยอรมันก่อน...สเปนมีโอกาสย้ำแค้นอีกครั้งจาก ศักยภาพของนักเตะทั้ง 11 คนแรกและตัวสำรองที่มีคุณภาพอย่าง ฟาเบรกาส, ซิลบา, นาบาส กระทั่ง ยอเรนเต้ ที่เล่นลูกโด่งได้ดี
สเปนจะล้มทีมสุดฮอตผ่านเยอรมันเข้าชิงชนะเลิศ ครั้งแรกในประวัติศาสตร์
อุรุกวัย VS ฮอลแลนด์
วันที่ 6 ก.ค. 01 เวลา- 01.30 น.
ที่- กรีนพอยนต์ สเตเดี้ยม เมือง เคปทาวน์
สถิติรอบแรก ;
อุรุกวัย - ชนะ 3 เสมอ 2 ยิงได้ 7 เสีย 2
ฮอลแลนด์ - ชนะ 5 ยิงได้ 9 เสีย 3
ตามสถิติแล้วคู่นี้พบกันมาแล้วสองครั้งในประวัติศาสตร์ ครั้งแรกฟุตบอลโลกปี 1974 ฮอลแลนด์ ชนะ อุรุกวัย 2-0 โดยนักเตะชุดนั้นมีคุณพ่อของดีเอโก ฟอร์ลัน คือ ปาโบล ฟอร์ลัน ลงสนามด้วย ครั้งล่าสุดเป็นนัดอุ่นเครื่องเมื่อปี 1980 เล่นที่บ้านอุรุกวัย ผลอุรุกวัยชนะ 2-0
สภาพทีมล่าสุด ;
เริ่มกันที่ อุรุกวัย ไม่มี 2 นักเตะตัวหลักที่โดนพักแข้ง แบกซ้าย ฟูซิเล่ และ ศูนย์หน้าความหวังของทีม หลุยส์ ซัวเรซ โดยโค้ช ออสการ์ ตาบาเรซ น่าจะส่ง อัลบาโร เปเรรา เล่นแบกซ้าย ส่วนกองหน้านั้น อาบรู จะลงแทน ซัวเรซ ที่โดนพักแข้งหนึ่งนัดจากใบแดงนัดพบกานา ส่วน ดาวิด ลูกาโน กัปตันทีมนั้นน่าจะผ่านการทดสอบความฟิตลงสนามได้
ผู้รักษาประตู - มุสเซรา
กองหลัง - 16 ม.เปเรรา, 2 ลูกาโน, 6 วิคตอริโน, 11 อ.ปาเรรา
กองกลาง - 15 เปเรซ, 17 อาเรบาโล, 20 โลเดโร
กอง หน้า - ฟอร์ลัน, 7 กาวานี, อาบรู
ทางด้านฮอลแลนด์ ก็ขาด 2 ตัวหลักเพราะโทษพักแข้งเหมือนกัน แบกขวา ฟาน เดอ วีล กับ กองกลางตัวรับ ไนเจล เดอ ยอง ถือว่าสำคัญมาก โดย ฟาน มาไวจ์ จะส่ง บูห์ราลูซ เล่นแบกขวา ส่วนตำแหน่งเดอ ยองนั้นน่าจะเป็น เดมี เดอ ซูว์ มากกว่า สไตน์ ชาร์
ผู้รักษาประตู - สเตเคเลนเบิร์ก
กองหลัง - 12 บูห์ลารูซ, 3 ไฮติงก้า, 4 มาไธจ์เซน, 5 ฟาน บรองค์ฮอร์สท์
กองกลาง - 10 ชไนจ์เดอร์, 6 ฟาน บอมเมล, 14 เดอ ซูว์
กองหน้า - 11 รอบเบน, 7 เคาต์, 9 ฟาน เพอร์ซีย์
กลยุทธ์ที่ใช้ ;
การพบกันของคู่นี้ ถูกคาดหมายว่าน่าจะเป็นการต่อสู้กันในเกมรับ เพราะทั้งสองทีมยอดเยี่ยมมากในการป้องกัน 5 เกมที่ผ่านมา ฮอลแลนด์เสียประตู 3 ลูก เป็นการเสียจากจุดโทษ 2 ลูก พึ่งเสียจากการโดนเจาะเข้าทำเกมรุกหรือ โอเพ่น เพลย์ นัดล่าสุด
ขณะอุรุกวัยนั้นเสีย 2 ประตูจากลูกฟรีคิกที่ป้องกันพลาดและลูกยิงไกลนัดล่าสุดที่พบกานา คล้ายๆกับฮอลแลนด์คือ รับรัดกุม เจาะค่อนข้างยาก
น่าติดตาม...สำหรับ ฮอลแลนด์ ที่ขาดหัวใจในการเล่นเกมรับสองคน แบกซ้ายกับกองกลางตัวตัดเกม ขณะที่ อุรุกวัยขาด ศูนย์หน้าตัวความหวังอย่าง ซัวเรซ เจ้าของผลงาน 4 ประตู กับแบกซ้ายตัวหลักทีมไหนจะแก้ปัญหาของตัวเองได้ดีกว่ากัน
ผลที่คาด ;
ฮอลแลนด์มีปัญหาเกมรับก็จริง แต่ แนวรุกของ อุรุกวัยขาด ซัวเรซ ความน่ากลัวลดลงเยอะ ทำให้ อุรุกวัยถูกบีบให้รับอย่างเดียว โดย ฮอลแลนด์ เล่นดึงจังหวะตามเกม ด้วยแนวรุกที่ครบ...พร้อมเจาะกองหลัง ทำให้ ทีมสีส้มจะผ่านเข้าชิงชนะเลิศเป็นสมัยที่ 3 ในประวัติศาสตร์
วันอังคารที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2553
ข่าวฟุตบอลโลก ญี่ปุ่น ยื้อปารากวัยถึงดวลโทษซัดพลาดคนเดียวร่วงตกรอบ
ฟุตบอลโลก 2010 รอบ 16 ทีมสุดท้าย (29 มิ.ย.53)
ปารากวัย 0-0 ญี่ปุ่น (120 นาทีเสมอกัน 0-0, ปารากวัย ชนะจุดโทษ 5-3)
สนาม : ลอฟตัส เวอร์สเฟลด์
ประตู : ไม่มี
ทีม “ซามูไรบลู” ญี่ปุ่น ทีมสุดท้ายของเอเชีย ที่เหลือในฟุตบอลโลกหนนี เจอกับโจทย์ยากอย่างปารากวัย ทีมจอมแกร่งจากอเมริกาใต้ ที่ผ่านเข้ารอบมาเป็นแชมป์ของกลุ่มอี
เกมเริ่มมา 20 วินาที ญี่ปุ่น ขอทักทายก่อนทันทีจากการยิงไกล 30 หลาของ โอคูโบะ แต่ก็หลุดกรอบออกไปเยอะมาก แต่หลังจากนั้นเป็นปารากวัย ที่ครองเกมได้เหนือกว่าแต่ก็ไม่สามารถจะหาช่องเจาะแนวรับของญี่ปุ่นที่ตรึง กันไว้แน่นได้
ปารากวัย เล่นอย่างอึดอัดมาโดยตลอด แต่ก็มาได้จังหวะใกล้เคียงมากที่จะได้ประตูเมื่อใช้การต่อบอลสั้นขึ้นไป บาร์ริออส โชวลีลาพลิกบอลได้สวยก่อนจะพาบอลเข้าไปในเขตโทษได้แล้วแต่ว่ายิงไม่ผ่านขา ของ คาวาชิม่า ที่เซฟได้สำเร็จก่อนที่ โคมาโน จะมาช่วยเคลียร์ได้

แต่นาทีต่อมา ญี่ปุ่น ก็ตอบโต้ได้อย่างน่ากลัวเมื่อเปิดเกมรุกขึ้นมาถึงกรอบเขตโทษ บอลโดนสกัดมาได้แต่มาเข้าทาง มัตสุอิ ได้ตั้งป้อมปั่นบอลลูกพุ่งฮุคโค้งกำลังจะมุดใต้คานแต่ก็ไปชนคานดังสนั่น
นาทีที่ 26 ปารากวัย มีจังหวะอีกครั้งเมื่อได้ลูกเตะมุม บอลเปิดเข้ามากลางประตูบอลถูกสกัดตแต่ไม่ขาดมาตกตรงหน้า โรเก้ ซานตา ครูซ แต่ว่าก็ซัดด้วยซ้ายบอลเฉี่ยวเสาออกไป ก่อนที่เกมจะเปิดแลกกันต่อไป
ญี่ปุ่น เริ่มเปิดหน้าแลกมากขึ้นโดยเฉพาะจังหวะสวนกลับเร็ว มีจังหวะที่ทำชิ่งกันขึ้นมาสวยก่อนที่บอลจะมาถึง ฮอนดะ ส่องไกลจากระยะ 25 หลาแต่บอลหลุดกรอบออกไปแบบได้ลุ้น ก่อนที่เกมจะยื้อกันไปจนจบครึ่งแรกยังเสมอกัน 0-0
ครึ่งหลังรูปเกมเปิดมากกว่าครึ่งแรกเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้มีจังหวะมากนัก เนื่องจากทั้งสองทีมต่างก็บีบพื้นที่กันได้อย่างรัดกุมทำให้เกมเป็นไปอย่าง อึดอัด ยิ่งเล่นก็ยิ่งเกร็งกัน โดยเฉพาะฝ่ายปารากวัย ที่เห็นได้ชัด
ญี่ปุ่น มาเปิดหน้าแลกในช่วง 10 นาทีสุดท้ายและสามารถกดดันทีมจากละตินได้ดีพอสมควร โดยเฉพาะช่วงท้ายเกม แต่ที่สุดแล้วเกมก็จบลงด้วยการเสมอกันเหมือนเดิม และต้องเล่นกันต่อในการต่อเวลาพิเศษอีก 30 นาที
ช่วงการต่อเวลาทั้งสองทีมเปิดฉากลุยกันใส่แบบไม่มีเหนียมแล้ว และสร้างโอกาสรุกเข้าพื้นที่สุดท้ายกันได้พอสมควร โดย ปารากวัย ถึงขั้นได้โขกจาก บาร์ริออส แต่ว่าก็หลุดกรอบออกไปนิดเดียว
ปารากวัย ที่ส่ง ออสการ์ คาร์โดโซ่ ลงมาเสริมเกมรุกอีก และน่าจะได้สุดๆเมื่อ วัลเดซ ได้พลิกบอลหลุดเข้าไปในเขตโทษได้สวยมากแล้ว แต่ว่า คาวาชิม่า ก็ไวออกมาดักบอลได้ทันเวลา ปารากวัย จะ
แต่ญี่ปุ่น ก็มีลูกสูตรที่น่ากลัวในจังหวะฟรีคิกเยื้องไปทางซ้าย ฮอนดะ กึ่งยิงกึ่งผ่านไปปากประตูโดยที่เพื่อนตามมาเข้าชาร์จไม่ทัน แต่ก็ทำให้ บีญาร์ต้องพุ่งปัดออกไปก่อน
นาทีี่ 101 ปารากวัย ได้เปิดบอลโด่งเข้ามาในเขตโทษ กองหลังญี่ปุ่น สกัดไม่ขาดมาโดน บาร์เน็ตโต้ พยายามจะดีดบอลแต่ก็โด่งข้ามคานออกไปอย่างน่าเสียดาย ก่อนที่จะยังไม่มีใครทำอะไรกันได้จนหมดครึ่งแรกของการต่อเวลา
ช่วง 15 นาทีสุดท้ายทั้งสองทีมเริ่มมีอาการป้อแป้ให้เห็น โดยเฉพาะญี่ปุ่น ที่เริ่มหมดแรง แต่ก็มีจังหวะโต้กลับขึ้นมา บอลมาถึงเขตโทษให้ โอคาซากิ ตอกส้นคืนกลับมาให้ทามาดะ ได้หลุดในเขตโทษแต่จังหวะสุดท้ายกลับจ่ายไม่ถึง นากามูระ ที่เติมขึ้นมาทำให้พลาดโอกาสไป ก่อนที่สุดท้ายจะจบลงด้วยการเสมอกัน 0-0 ต้องยิงจุดโทษตัดสิน
ในการดวลจุดโทษ ผลปรากฏว่าปารากวัย ยิงเข้าทั้ง 5 คน โดยที่ ญี่ปุ่น พลาดคนเดียวคือ โคมาโนะ ที่ซัดไปชนคาน ทำให้จบเกม ปารากวัย ได้ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ
วันอาทิตย์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2553
ข่าวฟุตบอล ฟ้าขาวถลุงจังโก 3-1 ฉลุยชนเบียร์
ข่าวฟุตบอล ฟ้าขาวถลุงจังโก 3-1 ฉลุยชนเบียร์
สมราคาทีมเต็ง อาร์เจนติน่าเป็นฝ่ายเอาชนะเม็กซิโกไม่ยากเย็น 3-1 โดยคาร์ลอส เตเวซ หัวหอกตัวเก่งซัดคนเดียว 2 เม็ด บวกกับอีกประตูของกอนซาโล่ อิกัวอิน ทำให้พวกเขาทะยานเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศไปเจอกับเยอรมันนีแล้ว
ฟุตบอลโลก 2010 รอบ 16 ทีม
อาร์เจนติน่า 3 - 1 เม็กซิโก
อาร์เจนติน่า พบ เม็กซิโก ทีมจากละตินอเมริกาเช่นกัน โดยเกมนี้ทัพฟ้าขาวส่งชุดใหญ่ลงสนาม นำโดย 3 ประสาน ลิโอเนล เมสซี่, คาร์ลอส เตเวซ และ กอนซาโล่ อิกัวอิน ขณะที่จังโก้ฝากความหวังที่ ฮาเวียร์ "ชิชาริโต้" เอร์นานเดซ, โจวานี่ ดอส ซานโตส และ อดอลโฟ่ เบาติสต้า
เริ่ม เกมมา เม็กซิโกทำเกมได้ดุดัน นาทีที่ 8 ก็ทักทายอย่างน่าหวาดเสียวจากลูกยิงไกลนอกกรอบของ คาร์ลอส ซัลซิโด้ ที่ส่งบอลไปชนคานอย่างจัง ทำเอาแฟนๆ ครางฮือ

แต่นาทีที่ 26 อาร์เจนติน่าก็นำ 1-0 เมื่อเมสซี่ดีดบอลให้คาร์ลอส เตเวซ โขกจ่อๆ ตุงตาข่าย ท่ามกลางแข้งจังโก้ที่พากันประท้วงว่าล้ำหน้า แต่กรรมการปล่อยผ่าน
หลังได้ประตูนำ ทัพฟ้าขาวก็ได้ใจ กระทั่งนาทีที่ 33 ก็นำห่าง 2-0 เมื่อกอนซาโล่ อิกัวอิน ฉกบอลจากริคาร์โด้ โอโซริโอ เซนเตอร์ฮาล์ฟจังโก้แล้วพาบอลลุยขึ้นไปยิงตุงตาข่ายอย่างเหนือชั้น ทำให้เขานำเป็นดาวซัลโวในรายการนี้จากการสังหารไปแล้ว 4 ประตู
เม็กซิโก พยายามบุก ก่อนหมดครึ่งแรกนาทีเดียว ราฟาเอล มาร์เกซ กปตันจังโก้สบโอกาสส่องไกล 30 หลา แต่ติดเซฟ เซร์คิโอ โรเมโร่ ผู้รักษาประตูฟ้าขาว จบครึ่งแรก อาร์เจนติน่าจึงนำเม็กซิโก 2-0
ใน ครึ่งหลัง เม็กซิโกแก้เกมส่ง ปาโบล บาร์เรร่า กองหน้าลงมาเล่นแทน อดอลโฟ่ เบาติสต้า แต่สถานการณ์ก็ยังเป็นใจให้อาร์เจนติน่า
นาทีที่ 52 ฟ้าขาวนำห่าง 3-0 เมื่อเตเวซ ได้โอกาสวางเท้ายิงด้วยขวาส่งบอลตุงตาข่ายเด็ดขาด เป็นประตูที่สองของเขาในนัดนี้ด้วย
ถัดมานาทีที่ 69 จังโก้หวิดตีไข่แตก เมื่อคาร์ลอส ซัลซิโด้ โยนบอลให้ บาร์เรร่า ตัวสำรอง ยิงข้ามตัวนายด่านฟ้าขาวไปแล้ว แต่ติด มาร์ติน เดมิเคลิส ที่โหม่งสกัดได้บนเส้นปากประตู
ต้องรอจนนาทีที่ 71 เม็กซิโกจึงไล่มาที่ 1-3 จากลูกยิงของ ฮาเวียร์ เอร์นานเดซ แต่ก็ไม่ทันแล้ว จบเกมอาร์เจนติน่าถล่มเม็กซิโก 3-1 ส่งให้ทัพฟ้าขาวผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายไปพบ เยอรมัน ในวันเสาร์ที่ 3 ก.ค.นี้
ข่าวฟุตบอล อินทรีเหล็ก ถลุงสิงโตขาด 4-1
ข่าวฟุตบอลโลก อินทรีเหล็ก เยอรมัน โชว์ฟอร์มเด็ดขาดเอาชนะ สิงโตคำราม อังกฤษ ได้อย่างขาดลอย 4-1 โดยเกมนี้มีลูกปัญหาเหมือนนัดชิงปี 1966 ที่อังกฤษ ยิงชนคานบอลตกผ่านเส้นแต่ครั้งนี้กลับไม่ได้ประตูทำให้กระแสเกมไม่พลิกมา เข้าทาง
ฟุตบอลโลก 2010 รอบน็อคเอาต์ (27 มิ.ย.53)
เยอรมัน 4-1 อังกฤษ
สนาม : ฟรีสเตท สเตเดี้ยม

ประตู :
1-0 โคลเซ่ 20
2-0 โพดอลสกี้ 33
2-1 อัพสัน 38
3-1 มุลเลอร์ 67
4-1 มุลเลอร์ 70
เกมสุดยอดของรอบสองเมื่อสองทีมดัง “อินทรีเหล็ก” เยอรมัน และ “สิงโตคำราม” อังกฤษ ต้องมาเจอกันเองในรอบที่ 2 โดยเกมนี้ทั้งสองทีมปึ้กสุดๆ เยอรมันได้ มิโรสลาฟ โคลเซ่ พ้นโทษแบน ขณะที่อังกฤษ ใช้ชุดเดิมจากเกมที่ชนะสโลวีเนีย ล่าสุด
เริ่มต้นเกมมาทางด้านเยอรมัน เป็นฝ่ายที่เปิดฉากลุยเข้าใส่ทันที และแค่นาทีที่ 4 ก็เกือบได้เฮแล้ว โดยเป็นจังหวะของ โอซิล ที่ได้บอลเปิดเข้าเขตโทษก่อนจะหลุดเข้าไปได้ซัดเดี่ยวๆ แต่เจมส์ ใช้ขาเซฟได้อย่างหวุดหวิด
หลังจากนั้น เกมเป็นของทีมเมืองเบียร์ที่เล่นได้เหนือกว่าอย่างชัดเจน โดยอังกฤษ ต่อบอลทำเกมแทบไม่ได้เลย และมาถึงนาทีที่ 20 เยอรมัน ก็มาได้ประตูนำ 1-0 ในจังหวะที่ นอยเออร์ สาดบอลจากประตูขึ้นมาบอลกระเด้งมาเข้าทาง โคลเซ่ วิ่งหลุดเข้าเขตโทษแล้วเบียดเอาชนะอัพสันได้ ก่อนจะจิ้มผ่าน เจมส์ เข้าไป
อังกฤษ พยายามตอบโต้แต่ก็ยังทำอะไรได้ไม่ถนัดนัก ตรงข้ามกับเยอรมัน ที่ลุยขึ้นมาทีไรก็สร้างความป่วนได้ตลอด และ โคลเซ่ ก็เกือบจะยิงประตูที่สองได้ด้วยเมื่อได้บอลจ่ายทะลุช่องให้โดย มุลเลอร์ แต่ยิงไม่ผ่านเจมส์
แต่เยอรมัน ก็มาหนีเป็น 2-0 ได้สำเร็จในนาทีที่ 33 จากการประสานงานสุดยอดจากการต่อบอลเป็นทอดๆ โอซิล ให้โคลเซ่ ดีดทำชิ่งให้กับ โธมัส มุลเลอร์ หลุดทะลุเข้าไปในเขตโทษ ก่อนจะเปิดให้ โพดอลสกี้ ที่เติมมาพอดีซัดด้วยซ้ายเข้าไปอย่างเฉียบขาด
สิงโตคำรามยังไม่ยอมแพ้ ไล่มาเป็น 2-1 ได้ในอีก 5 นาทีต่อมาจากจังหวะลูกเตะมุมทางฝั่งขวา แล้วเล่นสั้นกัน ก่อนที่เป็น เจอร์ราร์ด เปิดลึกเข้ามาให้ อัพสัน ได้ขึ้นโขกบอลแก้ตัวจากความผิดพลาดที่ทำให้ทีมเสียประตูแรก
นาทีถัดมา อังกฤษ ควรได้ประตูตีเสมอเป็น 2-2 ด้วยเมื่อดันเกมขึ้นมาอีก เดโฟ พลิกบอลหน้าเขตโทษแต่โดนสกัดได้ บอลมาเข้าทาง แลมพาร์ด วิ่งเติมมายิงแบบเน้นๆบอลพุ่งไปชนคานก่อนกระเด้งลงมา แต่กลายเป็นการเฮเก้อกันทั้งทีมเมื่อผู้ตัดสินไม่ให้ประตู
ช่วงที่เหลือ อังกฤษ ยังพยายามจะบุกเพื่อตีเสมอให้ได้ แต่ว่าก็ทำไม่สำเร็จ จบเกมครึ่งแรกเยอรมัน จึงยังนำอยู่เหมือนเดิม
ครึ่งหลังอังกฤษ ลุยต่อเนื่องและเกือบจะตีเสมอได้จากลูกฟรีคิกระยะกว่า 35 หลา แลมพาร์ด ตะบันด้วยขวาบอลพุ่งไปชนคานดังสนั่น ถือเป็นการเปิดฉากครึ่งหลังให้สนุกตื่นเต้นอีกครั้ง โดยหลังจากนั้นทั้งสองฝ่ายก็เปิดเกมแลกกันตลอด
อังกฤษ พยายามบี้หนักและจ่ายบอลขึ้นหน้าให้เร็วขึ้น ซึ่งก็ทำได้สวย 2-3 ครั้งแต่ยังไม่สำเร็จ ขณะที่เยอรมัน โต้กลับมาและใช้การยิงไกลจากนอกกรอบเขตโทษโดยมีจังหวะของ มุลเลอร์ และชไวน์สไตเกอร์ ที่ได้ลุ้นเหมือนกัน
แต่มาถึงนาทีที่ 67 อังกฤษ ก็มาเสียประตู 3-1 ในจังหวะที่ขึ้นไปเล่นลูกเตะมุมแล้วมาพลาดโดนสวนกลับเร็ว เยอรมันขึ้นมา 3 ต่อ 2 ก่อนที่ ชไวน์สไตเกอร์ จะเลือกจ่ายให้ มุลเลอร์ จบสกอร์เข้าไปอย่างสวยงาม
เกมมาขาดในอีก 3 นาทีถัดมา โดยเป็นประตูในรูปแบบเดิมเป๊ะเมื่อเยอรมัน สวนกลับในจังหวะที่อังกฤษ พลาดในการเล่นลูกเตะมุมเป็นทางด้าน โอซิล ที่สปีดพาบอลหนี แบร์รี่ ไปแบบคนละชั้นก่อนจะใส่พานให้ มุลเลอร์ เติมมาเข้าฮอสสบายๆ
ที่สกอร์ 4-1 เยอรมัน ก็เล่นประคองตัวอย่างสบายๆ แต่อังกฤษ ก็ยังไม่ถึงกับถอดใจมีจังหวะที ่เจอร์ราร์ด เติมมาได้ยิงในเขตโทษแต่ว่านอยเออร์ เซฟได้อย่างยอดเยี่ยม ก่อนที่สุดท้ายจะรักษาสกอร์เอาไว้ได้สำเร็จ และได้ผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายรอเจออาร์เจนติน่า หรือเม็กซิโก
ผู้ ตัดสิน : ลาร์ริออนด้า
ฟุตบอลโลก 2010 รอบน็อคเอาต์ (27 มิ.ย.53)
เยอรมัน 4-1 อังกฤษ
สนาม : ฟรีสเตท สเตเดี้ยม

ประตู :
1-0 โคลเซ่ 20
2-0 โพดอลสกี้ 33
2-1 อัพสัน 38
3-1 มุลเลอร์ 67
4-1 มุลเลอร์ 70
เกมสุดยอดของรอบสองเมื่อสองทีมดัง “อินทรีเหล็ก” เยอรมัน และ “สิงโตคำราม” อังกฤษ ต้องมาเจอกันเองในรอบที่ 2 โดยเกมนี้ทั้งสองทีมปึ้กสุดๆ เยอรมันได้ มิโรสลาฟ โคลเซ่ พ้นโทษแบน ขณะที่อังกฤษ ใช้ชุดเดิมจากเกมที่ชนะสโลวีเนีย ล่าสุด
เริ่มต้นเกมมาทางด้านเยอรมัน เป็นฝ่ายที่เปิดฉากลุยเข้าใส่ทันที และแค่นาทีที่ 4 ก็เกือบได้เฮแล้ว โดยเป็นจังหวะของ โอซิล ที่ได้บอลเปิดเข้าเขตโทษก่อนจะหลุดเข้าไปได้ซัดเดี่ยวๆ แต่เจมส์ ใช้ขาเซฟได้อย่างหวุดหวิด
หลังจากนั้น เกมเป็นของทีมเมืองเบียร์ที่เล่นได้เหนือกว่าอย่างชัดเจน โดยอังกฤษ ต่อบอลทำเกมแทบไม่ได้เลย และมาถึงนาทีที่ 20 เยอรมัน ก็มาได้ประตูนำ 1-0 ในจังหวะที่ นอยเออร์ สาดบอลจากประตูขึ้นมาบอลกระเด้งมาเข้าทาง โคลเซ่ วิ่งหลุดเข้าเขตโทษแล้วเบียดเอาชนะอัพสันได้ ก่อนจะจิ้มผ่าน เจมส์ เข้าไป
อังกฤษ พยายามตอบโต้แต่ก็ยังทำอะไรได้ไม่ถนัดนัก ตรงข้ามกับเยอรมัน ที่ลุยขึ้นมาทีไรก็สร้างความป่วนได้ตลอด และ โคลเซ่ ก็เกือบจะยิงประตูที่สองได้ด้วยเมื่อได้บอลจ่ายทะลุช่องให้โดย มุลเลอร์ แต่ยิงไม่ผ่านเจมส์
แต่เยอรมัน ก็มาหนีเป็น 2-0 ได้สำเร็จในนาทีที่ 33 จากการประสานงานสุดยอดจากการต่อบอลเป็นทอดๆ โอซิล ให้โคลเซ่ ดีดทำชิ่งให้กับ โธมัส มุลเลอร์ หลุดทะลุเข้าไปในเขตโทษ ก่อนจะเปิดให้ โพดอลสกี้ ที่เติมมาพอดีซัดด้วยซ้ายเข้าไปอย่างเฉียบขาด
สิงโตคำรามยังไม่ยอมแพ้ ไล่มาเป็น 2-1 ได้ในอีก 5 นาทีต่อมาจากจังหวะลูกเตะมุมทางฝั่งขวา แล้วเล่นสั้นกัน ก่อนที่เป็น เจอร์ราร์ด เปิดลึกเข้ามาให้ อัพสัน ได้ขึ้นโขกบอลแก้ตัวจากความผิดพลาดที่ทำให้ทีมเสียประตูแรก
นาทีถัดมา อังกฤษ ควรได้ประตูตีเสมอเป็น 2-2 ด้วยเมื่อดันเกมขึ้นมาอีก เดโฟ พลิกบอลหน้าเขตโทษแต่โดนสกัดได้ บอลมาเข้าทาง แลมพาร์ด วิ่งเติมมายิงแบบเน้นๆบอลพุ่งไปชนคานก่อนกระเด้งลงมา แต่กลายเป็นการเฮเก้อกันทั้งทีมเมื่อผู้ตัดสินไม่ให้ประตู
ช่วงที่เหลือ อังกฤษ ยังพยายามจะบุกเพื่อตีเสมอให้ได้ แต่ว่าก็ทำไม่สำเร็จ จบเกมครึ่งแรกเยอรมัน จึงยังนำอยู่เหมือนเดิม
ครึ่งหลังอังกฤษ ลุยต่อเนื่องและเกือบจะตีเสมอได้จากลูกฟรีคิกระยะกว่า 35 หลา แลมพาร์ด ตะบันด้วยขวาบอลพุ่งไปชนคานดังสนั่น ถือเป็นการเปิดฉากครึ่งหลังให้สนุกตื่นเต้นอีกครั้ง โดยหลังจากนั้นทั้งสองฝ่ายก็เปิดเกมแลกกันตลอด
อังกฤษ พยายามบี้หนักและจ่ายบอลขึ้นหน้าให้เร็วขึ้น ซึ่งก็ทำได้สวย 2-3 ครั้งแต่ยังไม่สำเร็จ ขณะที่เยอรมัน โต้กลับมาและใช้การยิงไกลจากนอกกรอบเขตโทษโดยมีจังหวะของ มุลเลอร์ และชไวน์สไตเกอร์ ที่ได้ลุ้นเหมือนกัน
แต่มาถึงนาทีที่ 67 อังกฤษ ก็มาเสียประตู 3-1 ในจังหวะที่ขึ้นไปเล่นลูกเตะมุมแล้วมาพลาดโดนสวนกลับเร็ว เยอรมันขึ้นมา 3 ต่อ 2 ก่อนที่ ชไวน์สไตเกอร์ จะเลือกจ่ายให้ มุลเลอร์ จบสกอร์เข้าไปอย่างสวยงาม
เกมมาขาดในอีก 3 นาทีถัดมา โดยเป็นประตูในรูปแบบเดิมเป๊ะเมื่อเยอรมัน สวนกลับในจังหวะที่อังกฤษ พลาดในการเล่นลูกเตะมุมเป็นทางด้าน โอซิล ที่สปีดพาบอลหนี แบร์รี่ ไปแบบคนละชั้นก่อนจะใส่พานให้ มุลเลอร์ เติมมาเข้าฮอสสบายๆ
ที่สกอร์ 4-1 เยอรมัน ก็เล่นประคองตัวอย่างสบายๆ แต่อังกฤษ ก็ยังไม่ถึงกับถอดใจมีจังหวะที ่เจอร์ราร์ด เติมมาได้ยิงในเขตโทษแต่ว่านอยเออร์ เซฟได้อย่างยอดเยี่ยม ก่อนที่สุดท้ายจะรักษาสกอร์เอาไว้ได้สำเร็จ และได้ผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายรอเจออาร์เจนติน่า หรือเม็กซิโก
ผู้ ตัดสิน : ลาร์ริออนด้า
วันพุธที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2553
เดโฟสุดหล่อยิงสุดสวยช่วยสิงคว้าชัย 1-0

เจอร์เมน เดโฟกองหน้าซาไกตอบแทนฟาบิโอ คาเปลโล่ด้วยประตูชัยดับ+เขี่ยสโลเวเนียหวุดหวิด 1-0 แต่โชคร้ายสหรัฐอเมริกาดันแซงเฮได้แชมป์กลุ่มเลยต้องไปชนตออย่างเยอรมันใน รอบ 16 ทีมสุดท้ายแทน
ฟุตบอลโลก 2010 กลุ่ม C
วันพุธที่ 23 มิถุนายน 2553
สโลเวเนีย 0 - 1 อังกฤษ
ประตู : 0-1 เจอร์เมน เดโฟ น.23
เดโฟคู่หมูตามคาด-มิลเนอร์ทำเกมริมเส้น
เจอร์เมน เดโฟได้ลงเล่นร่วมกับเวย์น รูนี่ย์ให้กับทีมชาติอังกฤษในแดนหน้าตามที่คาดการณ์กันได้ ส่วนแผงมิดฟิลด์เป็นแลมพาร์ดคู่เจอร์ราร์ด และมีแบร์รี่เป็นกองกลางตัวรับ ในขณะที่เกมริมเส้นเจมส์ มิลเนอร์ได้รับโอกาสแก้ตัว หลังจากเกมแรกเตะได้ห่วยแตกสุด ๆ
วันอังคารที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2553
ข่าวฟุตบอล กระทิงคืนฟอร์ม บีย่าซัดยิงดับฮอนดูรัส 2-0

ข่าวฟุตบอล
ฟุตบอลโลก 2010 กลุ่ม H
วันจันทร์ ที่ 21 มิถุนายน 2553
สเปน 2 - 0 ฮอนดูรัส ประตู : 1-0
ประตู: ดาวิด บีย่า น.17,2-0 ดาวิด บีย่า น.51
ไฮไลท์การทำประตูในเกมนี้
ครึ่งแรก
"กระทิงดุ" เกือบได้ประตูขึ้นนำตั้งแต่นาทีที่ 6 จากจังหวะที่ บีย่า ได้สับไกจากระยะ 30 หลา แต่บอลคานกระดอนออกมาอย่างน่าเสียดาย
นาทีที่ 16 ฮอนดูรัส โต้กลับเร็วได้สวย เมื่อ วอลเตอร์ มาร์ติเนซ จ่ายบอลให้ ซัวโซ่ ทะลุมาถึงกรอบเขตโทษ แต่ อีเคร์ กาซิยาส ยังปราดออกมาคว้าบอลไว้ได้ทัน
ถัดมานาทีเดียว เคราร์ด ปิเก้ เปิดบอลข้ามฟากให้ บีย่า ที่ลากตัดเข้าในก่อนจะล้มตัวยิง บอลพุ่งเสียบตาข่ายอย่างงดงามให้ สเปน ขึ้นนำ 1-0
นาทีที่ 24 กระทิงดุพลาดโอกาสได้ประตูที่ 2 อย่างน่าเสียดาย เมื่อ เฆซุส นาบาส โยนบอลน้ำหนักเยี่ยมไปหน้าประตู แต่ ชาบี กลับพุ่งโหม่งไม่ถึง สเปน เดินหน้าบุกอย่างต่อเนื่อง โดยที่ ตอร์เรส มีโอกาสบวกสกอร์ให้ทีม 2 ครั้งติดๆ กันในนาทีที่ 33 และ 34 แต่ลูกโหม่งลงพื้นและลูกยิงเหน่งๆ ของเขากลับข้ามคานออกไป
จากนั้น ทีมแชมป์ยูโร 2008 ก็ยังเป็นฝ่ายคุมเกมไว้ได้ดีกว่า แต่ก็ไม่สามารถจะทำประตูเพิ่มได้ ทำให้จบครึ่งแรก สเปน นำอยู่แค่ 1-0
ครึ่งหลัง
ฮอนดูรัสแก้เกมส่ง จอร์จี้ เวลคัม กองหน้า ลงเล่นแทน โรเจอร์ เอสปิโนซ่า นาที 46 และนาที 51 สเปนนำห่าง 2-0 ชาบี เอร์นานเดซ จ่ายบอลมาตรงกลางให้ เฆซุส นาบาส เปิดมาเข้าทาง ดาบิด บีย่า ยิงเท้าขวาจากบริเวณกรอบเขตโทษ บอลไปแฉลบโดนหัวเข่าของ ออสมัน ชาเวซ กองหลังฮอนดูรัส เข้าประตูไป นับเป็นประตูที่สองของเขาในเกมนี้ และเป็นลูกที่ 40 ของเขาในทีมชาติ
ลูก ทีมของ เดล บอสเก้ เดินหน้าบุกต่อในนาที 53 รามอส กระชากบอลขึ้นมาซัดหน้าเขตโทษหลุดเสาออกไปนิดเดียว
หลังจากนั้นนาที 60 "กระทิงดุ" มาได้ลูกจุดโทษจากการที่ นาบาส ถูก อีซากีร์เร ทำฟาวล์ในเขตโทษ แต่ บียา ซึ่งรับหน้าที่สังหารกลับยิงไม่เข้ากรอบพลาดทำแฮตทริกของตนเองไป
อีก 5 นาทีต่อมา เดล บอสเก้ ก็เปลี่ยนตัวเป็นคนแรกด้วยการส่ง เชสก์ ฟาเบรกาส ลงมาแทน ชาบี เอร์นานเดซ และอีกไม่กี่อึดใจต่อกัปตันทีมอาร์เซน่อล ก็ได้โอกาสยิงทันทีแต่บอลกลับถูกสกัดจากเส้น
นาที 68 ราม่อน นูเนซ ตัวสำรองของฮอนดูรัส ซัดฟรีคิกจากนอกกรอบเขตโทษฝั่งซ้าย บอลเหินข้ามคานไปไกล และสองนาทีต่อมา เดล บอสเก้ เปลี่ยนตัวสำรองคนที่สองส่ง ฆวน มาต้า ลงเล่นแทน เฟร์นานโด ตอร์เรส
นาที ที่ 75 เคซุส นาบาสที่วันนี้ได้ลากบอลไปเปิดทางริมเส้นฝั่งขวาบ่อยครั้ง ก็ยังคงไม่สามารถเปิดบอลได้เข้าเป้าเหมือนเดิม ทำให้สเปนเสียโอกาสในการลุ้นประตูหลายต่อหลายครั้ง
ช่วงเวลาที่ เหลือ "กระทิงดุ" ยังเป็นฝ่ายทำเกมบุกเหนือกว่า แต่ก็ไม่สามารถบวกสกอร์เพิ่มได้จบ 90 นาทีจึงเป็นฝ่ายเก็บ 3 คะแนนเต็ม พร้อมกับไปลุ้นผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมในเกมนัดสุดท้ายของรอบแรกกับ ชิลี ในวันศุกร์ที่ 25 มิถุนายน ส่วน ฮอนดูรัส ซึ่งตกรอบไปเรียบร้อยจากการแพ้สองนัดรวดจะพบกับ สวิตเซอร์แลนด์
รายชื่อนักเตะทั้ง สองทีม
สเปน : อีเคร์ คาซิญาส 6,คาร์เลส ปูโยล 7,เคราร์ด ปิเก้ 8,โจน คัปเดบีล่า 7,แซร์คิโอ้ รามอส 8(อาร์เบลัว 6 น.77),เซอร์จิโอ้ บุสเกตส์ 7.5,ชาบี้ อลอนโซ่ 8,ชาบี้ 7(ฟาเบรกัส 7 น.65),ดาวิด บีญ่า 8.5*,เฟร์ นานโด ตอร์เรส 6(มาต้า 7 น.70),เคซุส นาบาส 7
lฮอนดูรัส : โน เอล บัลเญดาเรส 6,เมย์นอร์ ฟิเกอรัว 6,ออสมัน ชาเวซ, 6เอมิลิโอ อิซากีร์เร่ 6,แซร์คิโอ้ เมนโดซ่า 4,อมาโด กูวาร่า 5.5,วิลสัน ปาลาซิออส 6.5,วอลเตอร์ มาร์ติเนซ 5,โรเจอร์ เอสปิโนซ่า 5(เวลคัม 6.5 น.45),ดานิโล่ เทอร์ซิออส 5(นูเนซ 6 น.63),ดาวิด ซัวโซ่ 4(เจอร์รี่ ปาลาซิออส - น.84)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)